สุขภาพ

ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้สุขภาพเราแข็งแรง

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

นอนกรน มหันตภัยใกล้ตัว

นอนกรน มหันตภัยใกล้ตัว

                       

 

“นอนกรน” มหันตภัยใกล้ตัว
ที่คนป่วยมักไม่รู้ตัว แต่คนรอบข้างร่วมห้องนอนต่างต้องทนรับฟังเสียงประสานยามค่ำคืน จนบางคนนอนไม่หรับใครจะรู้ว่าแค่นอนกรน จะมีอันตรายถึงขั้นเกิด”ภาวะหยุดหายใจขนะหลับ”จนกระทั่ง ”หยุดหายใจไปขนะตื่น”ด้วยก็ว่าใด้ เสียงกรนเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัยมากมายหลายอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญและดูเป็นหัวหน้าแก๊งที่นำโรคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิต เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคนอนกรน คงหนีหัวหน้าแก๊งที่ชื่อ”โรคอ้วน”นั่นเอง ทำอย่างไรจึงจะสังเกตอาการนอนกรนได้ ภาวะหยุดหายใจขนะหรับ จะเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ และจะมีการรักษาอย่างไร ต้องติดตาม…ร่วมห้องต่างต้องทนรับฟังเสียงประสานยามค่ำคืน จนบางคนนอนไม่หลับ
เสียงกรนมาจากไหน
เสียงกรนเกิดจากการที่อากาศเคลื่อนผ่าน ทางเดินหายที่แคบลง เช่น บริเวณที่มีเนื้อเยื่ออ่อนที่นุ่มหรือหย่อนเกินไปหรือบริเวณซึ่งไม่มอวัยวะ ส่วนแข็งค้ำยัน บริเวณเหล่านี้เองสามารถเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ได้ง่ายเช่นส่วนเพดานอ่อน ลิ้นไก่ โครนลิ้น กล้ามเนื้อและเยื่อบุของลำคอบริเวณที่แคบลงนี้ ทำให้เกิดการอุดกั้นบริเวณบางส่วนและเป็นต้นเหตุของเสียง ครอกฟี้ๆๆ ในยามค่ำคืน
อาการนอนกรน
อาการของโรคนอนกรนมี 2 ประเภท คือ
1.อาการนอนกรนธรรมดา ไม่อันตราย เพราะไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แต่เป็นที่รำคาญของบุคคลรอบข้าง
2.อาการนอนกรนอันตรายที่มีภาวะหยุดหายใจ ร่วมด้วยส่งผลร้ายต่อสุขภาพ คือการหยุดหายใจขนะหลับ จะทำให้ผู้ป่วยนอนหลับไม่สนิด สะดุ้งตื่นเป็นช่วงๆ ทำให้นอนหลับไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการเรียน การงาน ในช่วงกลางวันไม่เต็มที่ เนื่องจากมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน มีแนวโน้มเกิดอุบัติเหตุในท้องถนน หรือในโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าคนปกติ2-3เท่าเพราะหรับใน
โรคนอนกรน
สัมพันธ์โดยตรงกับการเกิดภาวะหยุดหายใจ ขนะหลับ(obstructive sieep Apnea:osa)ซึ่งมีความเสี่ยงสู้ต่อการเกิดโรคไหม่ๆมากมาย ได้แก่โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ,โรคความดันโลหิตในปอดสู้,โรคหลอดเลือดในสมอง อัมพฤกษ์,อัมพาต รวมถึงโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ท้ายสุดอาจถึงขั้นหยุดหายใจขนะหลับ จนร่างกายขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด!!!
รู้ได้อย่างไรว่า เป็นโรคนอนกรน
ทำได้โดยสอบถามประวัติจากคู่นอนว่า มีอาการนอนกรนหรือหายใจเสียงดัง มีช่วงหยุดหายใจหรือหายใจไม่สม่ำเสมอหรือไม่ บางครังอาจพบอาการสดุ้งตื่นหรือพริกตัวตอนนอน นอนกระสับกระส่ายเหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ ในเด็กถ้ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากจะทำให้เด็กนอนตะแครงหรือนอนคว่ำนอก จากนี้อาจพบ อาการปากแห้ง คอแห้งในตอนเช้า เพราะต้องหายใจทางปากทั้งคืน และเมื่อตี่นขึ้นก็รู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่ม เหมือนไม่ได้หลับทั้งคืน และอาการจะหนักขึ้นเรี่อยๆ ถ้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือทานยานอนหลับ
สัญญาณอันตราย
สะดุ้งตื่นกลางดึกเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผู้ ป่วยมีอาการง่วงในเวลากลางวันมากกว่าปกติ เพราะการอุดกั้นทางเดินหายใจจะทำให้ร่างกายไม่ใด้พักผ่อนอย่างเต็มที่ คุณภาพชีวิตก็จะแย่ตามลงมาความผิดปกติของการหายใจขณะแบบอุดกั้น เริ่มตั้งแต่น้อยที่สุด คืออุดกั้นของทางเดินหายใจเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดอาการนอนกรนอย่างเดียว หากมีการอุดกั้นทางเดินหายใจมากจนเห็นได้ชัดเจน จนต้องสะดุ้งตื่นอยามหลับอยู่บ่อยครั้ง ในกลุ่มผู้ใหญ่จะหยุดหายใจอย่างน้อย 10 นาที ส่วนเด็กจะประมาณ 6 วินาที นั่นคือสัญญานอันตรายที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ !!
อุบัติการณ์นอนกรน
ในต่างประเทศพบว่าร้อยละ 85 ของเพศชายช่วงอายุ 30- 35 ปี และร้อยละ 5 ของเพศหญิงในช่วงวัยเดียวกันมีอาการนอนกรนและมีแนวโน้มพบมากขึ้นเมื่ออายุ สูงขึ้น โดยเมื่ออายุ 60 ปี พบชายนอนกรนร้อยละ 60 และหญิงร้อยละ 40 ขณะที่ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ พบใด้ร้อยละ 4 ในชายและร้อยละ 2 ในหญิง“โดยจากการศึกษาพบว่าชายมีโอกาศเป็นมากกว่าหญิง7:1 แต่เมื่อหญิงถึงวัยหมดประจำเดือน ก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นเนื่องจาก อาจเป็นไปได้ที่ฮอร์โมนมีผลต่อโรคนี้”เหตุเพราะชายมีฮอร์โมนส่งผลต่อโครงส้า งบริเวณศรีษะและลำคอของเพศชาย เนื้อเยื่อบริเวณคอหนาขึ้นทำให้มีช่องคอแคบกว่าผู้หญิง ส่วนฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนทำให้กล้ามเนื้อทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจและ มีความตึงตัวมากกว่าชายที่สำคัญภาวะหยุดหายใจขณะหลับนี้มีอัตราผู้ป่วยเพิ่ม สู้ขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากปัจจัยทางร่างกายเพื่อมเสียงกรน
ปัจจัยทางร่างกายที่มีผลต่อการนอนกรนมีดังนี้
1.ความตลึงตัวของกล้ามเนื้อเพดานอ่อน ลิ้น ลำคออ่อนตัว มักทำให้เกิดการนอนกรนในผู้ใหญ่
2.เพดานอ่อนและลิ้นไก่มีความผิดปกติ
3.ก้อนที่ขวางอยู่ในระบบทางเดินหายใจ เช่นต่อมทอนซิล ต่อมอดีนอยด์ที่โต เป็นสาเหตุอาการนอนกรนในเด็ก
4.การอุดกั้นของโพรงจมูก ทำให้เกิดความดันที่ป็นลมเพิ่มมากขึ้นละหว่างการหายใจเข้า วึ่งในบางคนที่ไม่เคยนอนกรน อาจพบเมื่อเป็นหวัด คัดจมูก หรือสัมผัสสารพูมแพ้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นอีก เช่นความผิดปกติผนังกั้นช่องจมูก เยื่อบุจมูกบวม เนื้องอกในจมูกและโพรงอากาศข้างจมูก ริศศีดวงจมูกไซนัส อักเสบ ฯลฯ
โรคอ้วนนำพา(ต่อ)
วัดดรชณีมวลกายวิธีง่ายๆ คือชายไทยเส้นรอบเอวไม่ควรเกิน 90 เชนติเมตร หญิงไม่ควรเกิน 80 เชนติเมตรนอกจากนี้ กรรมพันธุ์ก็มีส่วนเสริมให้เกิดโรคนอนกรนด้วยเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในราย ที่ไม่อ้วน แต่มีภาวะหยุดหายใจร่วมด้วย จะถือว่ามีโอกาสเสี่ยงกว่าคนปกติ 1.5เท่า โรคนำพาความอ้วน(ต่อ) การดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือการรับประทานยาบางชนิด ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมทั้งกล้ามเนื้อที่คอยพยุงช่องทางเดินหายใจให้เปิดหมดแรง ไปจนเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่ายขึ้นเมื่อมีภาวะการณ์ขาดออกชิเจนได้ ช้าซึ่งอาจเกิดผลเสียอย่างร้ายแรงต่อหัวใจและสมองได้ทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัย เสริมทำให้หยุดหายใจได้ง่ายขึ้น
นอนกรน...รักษาใด้ วิธีรักษาผู้มีอาการนอนกรนหรืภาวะหยุดหายใจขนะหลับจำเป็นต้องใด้รับการวินิจฉัยและให้การรักษาที่เหมาะสม การรักษาแบ่งออกใด้ 3 วิธีคือ
1.การรักษาโดยการปรับเปรียนพฤติกรรมเป็น วิธีแรกที่แพทจะแนะนำให้ผู้ป่วย เริ่มจากลดน้หนักออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีลิตรกดประสาทส่วนกลาง อาทิเครื่องดื่มแอกอฮอล์ยานอนหลับฯลฯโดยถึงการปรับเปรียนท่านอนโดยไม่ควรนอน หงาย
2.การรักษาโดยการใช้เครื่องช่วยหายใจขนะ นอน เครื่องมือดังกล่าวจะช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้นลดการอุดกั้นขนะนอนหลับ นอนกรน...รักษาได้ต่อ
3.การรักษาโดยวิธีผ่าตัด หากการเปรี่ยนพฤติการนอนดีขึ้นการผ่าตัดจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา จุดประสงค์เพื่อเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจส่วนบนเพื่อแก้ไขการอุดกั้นของทาง เดินหายใจ โดยแพทย์จะวินิจฉัยชนิดและตำแหน่งของการอุดกั้นทางเดินหายใจเพิ่อจะใดหาวิธี ที่เหมาะสมหายขาดไม่ใด้ถ้า...ไม่ตั้งใจ ผู้ป่วยที่นอนกรน และภาหยุดหายใจขนะนอนหลับอาจเกิดจากหลายสาเหตุและมีจุดอุดกั้นทางเดินหายใจ หลายตำแหน่งการผ่าตัดจึงเป็นวิธีที่แก้ไขเพรียงจุดเดียว อาจไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นอาจต้องผ่าตัดซำเพื่อแก้ไขทางเดินหายใจที่แคบส่วน อื่นๆ เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วก็อาจมีโอกาสกลับมาเป็นไหม่ใด้
ผู้ป่วยจึงต้องดูแลตนเองต่อ”2”ดังนี้
1.ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มเพราะความ อ่วนทำให้ไขมันไปสะสมอยู่ที่ผนังช่วงคอ ทำให้กับมาแคบไหม่ใด้ ทำให้อาการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับกับมาเป็นเหมือนเดิมหายขาดไม่ใด้ ถ้า...ไม่ตั้งใจ(ต่อ)
2.ออกกำลังกายสมำเสมอเพื่อให้กล้ามเนื้อ บริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัว กระชับและชะลอไม่ให้หย่อนยาน การออกกำลังกายแบบแอโลบิคโดยการเดินเร็วขี่จักยานยู่กับที่ การว่ายน้ำให้ได้ 40 นาที ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิหมั่นเดินขึ้นลงบันไดแทนที่จะใช้ลิฟท์ มีผลทำให้รอบเอวลดลงรอบคอลดลงและหัวใจแข็งแรงขึ้น
เคดิตบทความ สสส.

 

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

วิธีลดต้นขาง่าย ๆ

วิธีลดต้นขาง่าย ๆ

อ๊ย!!! เจ็บใจนัก โดนเพื่อน ๆ ประนามขาเราเป็นแหนม เป็นขาหมูบ้างล่ะ แล้วจะทำอย่างไรดี
วันนี้เรามีวิธีลดต้นขามาฝากกัน
ประการแรก : ใจ แข็งเข้าไว้ อย่าปล่อยให้ตัวเองเคลิบเคลิ้มไปกับอาหารอันโอชะ ที่เต็มไปด้วยไขมัน จำไว้ว่า เด็กๆอ้วนน่ะน่ารัก แต่ผู้ใหญ่อ้วนน่ะน่าเกลียด
ประการที่สอง : หลังจากที่ควบคุมอาหารได้แล้ว ก็อย่าลืมที่จะออกกำลังกายบ้าง ซึ่งเราก็มีตัวอย่างท่ากายบริหารมาฝากกัน
วิธี ลดต้นขาท่าแรก ยกเวทด้วยขา โดยใช้เวทที่มีน้ำหนักขนาด 1 กิโลกำลังดี โดยให้คุณนั่งเก้าอี้ จากนั้นวางเวทไว้บนขาแล้วยก หรือ จะให้ดีควรนอนราบกับพื้น ผูกเวทติดไว้กับขาแล้วยกให้สูงจากพื้น 45 องศา จากนั้นยกค้างไว้ เมื่อร่างกายของคุณปรับสภาพให้เข้ากับน้ำหนักของเวทได้แล้ว ก็เริ่มยกขึ้น-ลงให้เร็วขึ้นโดยทำทีละข้างๆละเท่าๆกัน หากคุณมีเวท 2 อันก็อาจยกขึ้นลงสลับกันก็ได้ เมื่อชำนาญแล้วอาจยกให้สูงขึ้นกว่าเดิมอีก เน้นให้ต้นขาได้ขยับเขยื้อน ทำเช่นนี้ 3 เซ็ทๆละ 10 ครั้ง โดยทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง

วิธีลดต้นขาท่าต่อมา เป็นการลดต้นขาด้านใน โดยการนอนราบลงบนพื้น จากนั้นไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน แล้วขอเข่าเข้ามาให้ชิดร่าง กาย แล้วยืดออก จากนั้นให้คลายเท้าทั้งสองออกจากกันกลับมาสู่ท่าเดิม แล้วเริ่มทำใหม่ 16- 24 ครั้งต่อวัน ต้นขาด้านในของคุณจะดูเล็กลง
วิธี ลดต้นขาท่าสุดท้าย ถ้าขี้เกียจซื้ออุปกรณ์ ก็ให้คุณว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานอยู่กับที่ (วิธีปั่นจักรยาน มีเคล็ดลับอยู่อย่างว่า ต้องไปปั่นอย่างเร็ว เพราะถ้าปั่นช้า อาจจะทำให้ขาหมูของคุณกลายเป็นขาช้าง หรือขาวัวไปเลยก็ได้นะ)

ส่วนการเต้นแอโรบิคนั้น ก็ช่วยได้เหมือนกัน แต่การเต้นแอโรบิค ไม่ได้ทำให้คุณผอมลงนะ แต่จะทำให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ต้นขาอาจจะดูเล็กลงเพราะความกระชับของกล้ามเนื้อ แต่น่องจะใหญ่ขึ้น


ลองนำวิธีลดต้นขาเหล่านี้ไปใช้ดู รับรองว่าต่อไปก็ไม่มีใครกล้ามาเรียกคุณว่า "ขาหมู" แล้วล่ะ.
 ลองทำดูนะ
 
 
 

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556

ผลไม้ตระกูลผิวดี 5 อย่าง (อยากผิวดี ผิวเนียน ผิวพรรณผ่องใส ตามมาดูกันค่ะ)
[6 มีนาคม 2556]


ผลไม้ตระกูลผิวดี 5 อย่าง

หลังการดูแลผิวสวย ง่ายๆ เริ่มด้วยการกิน นี่แหละ เราได้รวบรวม "ผลไม้ตระกูลผิวดี" มาแนะนำให้ทราบ ดูซิว่าผลไม้แต่ละอย่างมีสารอะไร และช่วยดูแลให้ผิวเราดี และเนียนได้อย่างไรบ้าง

มะพร้าว ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก ในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนซึ่งที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ผิวดี ผิวเนียน ได้อย่างธรรมชาติ

ฝรั่ง มีวิตามินบี 1 บี 2 บี 6 ธาตุเหล็ก แคลเซียม และมีวิตามินซีมากกว่าผลไม้อื่น ๆ วิตามินซีเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวพรรณ เพราะมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระอันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย มีฤทธิ์เป็นไวเทนนิ่งที่ดี ทำให้ผิวเนียน และผิวใส

สับปะรด ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดรอยหมองคล้ำ ช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างการดูดซึมอาหารของร่างกาย กระตุ้นการขับถ่าย และช่วยลดความร้อนของร่างกาย

ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ที่สำคัญ ช่วยให้ผิวใสมีเลือดฝาด

องุ่น ช่วยเรื่องริ้วรอย ผิวหมองคล้ำ และกระชับผิว กระตุ้นความสดชื่นได้เร็ว เพราะน้ำตาลในองุ่นเป็นน้ำตาลธรรมชาติ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เลย ช่วยเร่งในการเผาผลาญได้มากยิ่งขึ้น น้ำองุ่นสด ๆ จะมีแร่ธาตุครบถ้วน ทั้งแคลเซียม ทองแดง กรดโฟลิก ฯลฯ


นอกจากนี้ยังมีผลไม้อื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายให้เลือกทานค่ะ



วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับวิธีการนอนหลับให้สบายตลอดทั้งคืน



เคล็ดลับวิธีการนอนหลับให้สบายตลอดทั้งคืน

บทความน่ารู้ : เรื่องเคล็ดลับวิธีการนอนหลับให้สบายตลอดทั้งคืน
ที่นี่คือศูนย์รวมบทความที่น่าสนใจและให้ความรู้จากทุกมุมโลก เพื่อเป็นแหล่งความรู้สำหรับคนไทยทุกคน
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักมีปัญหาเรื่องการนอนหลับไม่สนิทหรือ นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดทั้งคืน เพราะมีงานคั่งค้างที่ต้องทำให้เสร็จในวันถัดไป การตัดเวลานอนลงเพื่อทำในสิ่งต่าง ๆ ที่คิดว่าสำคัญกว่าจะมีผลต่อสุขภาพ การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะสมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเคล็ดลับการนอนให้มีความสุขตลอดทั้งคืนที่รวบรวมจาก เวปสุขภาพของอเมริกา ดังนี้
            1. ตั้งใจและเห็นความสำคัญต่อการนอน ว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพ และทำให้ร่างกายมีพลังที่จะทำงานต่อในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป
            2. นอนหลับให้เพียงพอ โดยทั่วไปคนเราต้องการพักผ่อนประมาณ 7 - 8 ชั่วโมงต่อวัน หากเรารู้สึกเหนื่อยในระหว่างวัน หรือต้องใช้นาฬิกาปลุกให้ตื่นในเวลาเช้า หรือต้องดื่มเครื่องดื่มที่มีสารกระตุ้น เช่นกาแฟเพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉง หรือในระหว่างการประชุมเรางีบหลับ หรือหลับตาพักผ่อน นั่นหมายความว่าเรานอนหลับไม่เพียงพอและแสดงให้เห็นว่าร่างกายต้องการพัก ผ่อนมากกว่าที่ได้รับอยู่
            3. จัดห้องนอนใหม่ ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก มีบรรยากาศที่น่านอน ไม่มีแสงสว่างรบกวนมากจนเกินไป และใช้ผนังกั้นเสียงรบกวน โดยปกติร่างกายของเราจะมีอุณหภูมิที่ลดลงในเวลานอน ดังนั้นการเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม ควรให้มีความเหมาะสมกับร่างกายของเรา
            4. จัดตารางการนอนและทำให้เป็นกิจวัตร พยายามเข้านอนและตื่นตามเวลา มีบางคนปรับเวลาการนอนของตนเอง โดยใช้เวลาวันหยุด หรือสุดสัปดาห์เที่ยวและนอนดึก ทำให้ไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ บางครั้งจะเกิดอาการปวดศีรษะ และไม่มีสมาธิในวันทำงานในต้นสัปดาห์ตามมา ดังนั้นการปรับเปลี่ยนเวลานอนอาจทำให้มีปัญหาภายหลังได้
            5. อย่าฝืนนอนหรือพยายามบังคับตนเองให้นอนหลับ หากมีปัญหาตื่นในช่วงกลางคืน ไม่ควรนอนจ้องเพดาน หรือพยายามนับเลข ควรลุกขึ้นและทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายจะดีกว่า และกลับมานอนอีกครั้งเมื่อรู้สึกง่วง สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เป็นสถานที่ในการนอนมากกว่าสถานที่ตื่น หากเรามีความกังวลให้จดบันทึกถึงสิ่งที่ต้องทำในวันถัดไปก่อนประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน วิธีนี้จะช่วยกำจัดความกังวลใจได้
            6. กำจัดสิ่งรบกวนต่อการนอน ไม่ควรจัดให้มีทีวี หรือคอมพิวเตอร์ในห้องนอน เพราะสิ่งเหล่านั้นกระตุ้น และทำให้ร่างกายตื่นตัว งานวิจัยล่าสุดเปิดเผยว่าแสงจากทีวี และคอมพิวเตอร์ จะไปกระตุ้นฮอร์โมนในการนอน ดังนั้นให้เราตั้งเวลานอนไว้ ปิดทีวีและคอมพิวเตอร์หรือไฟต่าง ๆ ก่อนนอน 1 ชั่วโมง และปฏิบัติตามนั้นเป็นกิจวัตร ดีกว่าจัดให้มีสิ่งกระตุ้นมากมายในห้องนอน
            7. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอร์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้รบกวนการนอน และกระตุ้นทำให้มักตื่นขึ้นกลางดึก แอลกอฮอล์ทำให้คลื่นความง่วงหมดไป ฤทธิ์ของมันทำให้นอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ในเวลากลางคืน
            8. ตามรายงานของ National Sleep Foundation (NSF) แนะนำว่าโดยปกติเด็ก ๆ อายุ 3 - 5 ขวบใช้เวลานอนประมาณ 11 - 13 ชั่วโมง ในช่วงวัยเด็กจะใช้เวลานอนประมาณ 9 ชั่วโมงในวันที่ไปโรงเรียน เด็กอายุ 5 - 10 ปีควรนอน 10 - 11 ชั่วโมง เด็กอายุ 10 - 17 ปีควรนอน 8.5 - 9.5 ชั่วโมง และเด็กอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องการ 7 - 9 ชั่วโมง
            9. จัดเวลานอนเป็นเวลาที่สำคัญสำหรับทุกคนในครอบครัว จัดทำตารางประจำวันสำหรับเวลานอน เด็กในวัยเรียนต้องการการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ดังนี้การจัดเป็นกิจวัตรจะช่วยได้ เช่นหลังจากอาบน้ำ แปรงฟัน เล่าเรื่องแล้วเข้านอน เด็ก ๆ มักชอบงอแง และโยเยไม่ยอมนอน พยายามเลื่อนเวลานอนออกไป ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเคร่งครัดกับช่วงเวลาดังกล่าว และจัดให้เป็นนิสัย
            10. ใช้เวลานอนกลางวันช่วย หากคุณมีปัญหานอนไม่หลับในเวลากลางคืน อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ก็คือหาช่วงเวลาที่สามารถงีบหลับได้ในช่วงเวลากลาง วันประมาณ1-2ชั่วโมง
การนอนหลับพักผ่อนเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากทั้งต่อร่างกายและสมอง ถ้าหากท่านมีอาการนอนไม่หลับที่ไม่รู้สาเหตุบ่อย ๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงและบำบัดรักษาต่อไป

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การดื่มน้ำรักษาโรค

การดื่มน้ำรักษาโรค

การดื่มน้ำรักษาโรค

 
 
 วารสารทางการแพทย์บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์
นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำน้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำอันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิใน ร่างกายของคนได้สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่าง กายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดีตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้าไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อยหลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลัง กาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ควรจะ เผยแพร่ให้มากขึ้น
ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่ มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ซึ่งทำ หน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็น
เม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็น โลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น
โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้
คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยวโรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ
โรค ไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว
1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปีกระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปีได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล
ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกินวันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์ สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ
3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆมาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัว เพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำนวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ


3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็น
ของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่ โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด
หาก ดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะ
ปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7- 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็น ประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไปเพื่อเป็นการกุศล



วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ต้านโรคเบาหวาน ด้วยอาหารแนวธรรมชาติบำบัด

ต้านโรคเบาหวาน ด้วยอาหารแนวธรรมชาติบำบัด

     แต่ก่อนคนไทยเรานั้นชอบกินข้าวซ้อมมือเป็นอาหารประจำชีวิต ไม่ว่าจะเป็นตอนเช้า ตอนเที่ยง และตอนเย็น นอกจากนี้ ขนมนมเนยจากโรงงานอุตสาหกรรมก็ยังไม่มี จะมีก็แต่ผลไม้ที่ปลูกไว้กินเองตามบ้าน ตามท้องไร่ท้องนา ซึ่งคนไทยเราโชคดีมีผลไม้ให้กินตามฤดูกาลตลอดทั้งปี ขนมหวานจากครัวเรือน ซึ่งปรุงจากเครื่องปรุงธรรมชาติ เช่น กะทิจากมะพร้าว น้ำตาลจากต้นอ้อย ต้นตาลโตนด และต้นมะพร้าว ตัวเครื่องปรุงอาหารก็เป็นกล้วย ฟักทอง มัน เผือก ถั่วดำ เอามาบดกับกะทิ ทำมื้อกินเป็นมื้อเป็นครั้งคราว ผักเราก็ปลูกกินเองในสวนครัวหลังบ้าน ที่รั้วริมบ้าน เก็บผักสดๆ กินได้ทุกวัน ผักสด ๆ นั้นเราจะกินกับน้ำพริก และโดยส่วนมากน้ำพริกจะมีอยู่ในทุกสำรับที่แต่งออกมากินกัน ดังนั้นคนไทยจึงมีสุขภาพดี แข็งแรง ไกลจากโรคเบาหวาน ชนิดที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกันเลยทีเดียว
      เดี๋ยวนี้คนไทยกินข้าวขาว กินขนมนมเนยอย่างฝรั่งมั่งค่า กินขนมขบเคี้ยว กินช็อกโกแลต กินทอฟฟี่ กินเค้ก กินคุ้กกี้ และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมน้ำที่เราดื่มก็จะเป็นพวกน้ำอัดลมสารพัดชนิด น้ำผลไ้ม้กระป๋องอีก คนไทยก็เลยพากันเป็นโรคเบาหวาน ทั้งผู้ใหญ่ คนหนุ่มคนสาว และแทบไม่น่าเชื่อว่าในปัจจุบันมันกำลังลามไปถึงเด็ก ๆ มันไม่เลือกชนชั้นวรรณะ รวยก็เป็นเบาหวาน จนก็เป็น ไม่รวยไม่จนก็เป็นเบาหวานกันทั้งนั้น (เบาหวานมันบอกกับเราว่า "รักทุกคนนะจ๊ะ") อ้อ.. ลืมบอกอีกเรื่องว่า คนไทยเราไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย มันจึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกันมาก
     จากการสำรวจผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานทั่วโลก ในปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีจำนวน 246 ล้านคน (โอ้โฮ้ .. อะไรจะมากมายขนาดนั้น) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชียในอัตรา 4 คนใน 5 คนของผู้ป่วยเบาหวาน ทั้งนี้สาเหตุใหญ่มาจากวิถีการดำเนินชีวิต ตลอดจนอาหารการกินของคนเอเชียที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั่นเอง และที่น่าตกใจมากไปกว่านั้น ก็คือ การที่เด็กไทยซื้อขนม น้ำอัดลม สูงถึงวันละ 135 ล้านบาท(มูลค่าทางตลาดสูงมาก) ดังนั้น เราจะเห็นสื่อโฆษณาอาหารประเภทนี้กันอย่างรุนแรง และแข่งขันกันสูง ซึ่งการที่เด็กไทยบริโภคสิ่งเหล่านี้ทุกวัน มันจึงทำให้เด็กรุ่นใหม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพกันอย่างหนัก เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจ และฟันผุ เป็นต้น
     ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า โรคเบาหวานนั้นมาจากอาหารการกินที่เปลี่ยนไปของสังคมไทย รวมถึงการที่ไม่ค่อยชอบออกกำลังกายของคนไทย ทางแก้ก็คือ ต้องย้อนศรหันมากินอาหารพลังสดจากธรรมชาติ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีแบบยั่งยืน และไม่เป็นโรคเบาหวาน